UHT (ULTRA-HIGH TEMPERATURE) & PASTEURIZER เป็นเทคโนโลยีการบริหารความร้อนที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อป้องกันการเจือปนของจุลินทรีย์และเชื้อโรคในอาหาร โดยการนำอาหารผ่านอุณหภูมิที่สูงเพื่อฆ่าเชื้อโรคและยังคงคุณสมบัติทางอาหารไว้ให้นาน
เครื่องฆ่าเชื้อแบบยูเอชทีและพาสเจอไรซ์ (UHT & PASTEURIZER) คืออะไร ?
เครื่องฆ่าเชื้อแบบยูเอชทีและพาสเจอไรซ์ (UHT & PASTEURIZER) เป็นเครื่องมือที่รวมสองเทคโนโลยีการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนในอุปกรณ์เดียว ใช้ในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และเชื้อโรคในอาหารและเครื่องดื่ม โดยผ่านกระบวนการที่แตกต่างกันเพื่อรักษาคุณสมบัติทางโภชนาการและยืดอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์
เครื่องฆ่าเชื้อแบบยูเอชที (UHT) คืออะไร?
UHT หรือ ULTRA-HIGH TEMPERATURE เป็นการใช้ความร้อนที่อุณหภูมิสูงระหว่าง 135-150°C ในระยะเวลาเพียง 2-5 วินาที เพื่อฆ่าเชื้อโรคและสปอร์ในอาหาร หลังจากการฆ่าเชื้อ อาหารจะถูกทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็วเพื่อคงคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการ UHT สามารถเก็บได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็น เช่น นม UHT น้ำผลไม้ หรือซุปสำเร็จรูป
พาสเจอไรซ์ (PASTEURIZER) คืออะไร?
การพาสเจอไรซ์ใช้ความร้อนที่อุณหภูมิต่ำกว่า UHT โดยปกติอยู่ที่ 60-85°C แต่ใช้เวลานานกว่า (15-30 นาที) เพื่อทำลายจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค โดยไม่ทำลายรสชาติและคุณค่าทางอาหาร วิธีนี้เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องเก็บในตู้เย็น เช่น นมพาสเจอไรซ์ และน้ำผลไม้ที่ต้องการความสดใหม่
ความแตกต่างระหว่าง UHT และ พาสเจอไรซ์
- UHT ใช้อุณหภูมิที่สูงกว่ามากในระยะเวลาสั้นกว่า และไม่จำเป็นต้องแช่เย็น
- พาสเจอไรซ์ ใช้อุณหภูมิที่ต่ำกว่า แต่ต้องเก็บในตู้เย็นเพื่อรักษาคุณภาพ
องค์ประกอบของเครื่อง
- ห้องทำความร้อน: ใช้ในการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน
- ระบบระบายความร้อน: เพื่อลดอุณหภูมิหลังการฆ่าเชื้อ
- ระบบควบคุมอุณหภูมิและเวลา: เพื่อให้ได้อุณหภูมิและเวลาที่แม่นยำ
- ระบบส่งผ่านอาหาร: ใช้ท่อส่งผ่านเพื่อให้กระบวนการฆ่าเชื้อมีความสม่ำเสมอ
- เครื่องควบคุมการไหล: เพื่อรักษาการไหลของผลิตภัณฑ์ในปริมาณที่เหมาะสม
ตัวอย่างการใช้งาน
- อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นม: ทั้ง UHT และพาสเจอไรซ์ใช้ในการผลิตนมและโยเกิร์ต
- น้ำผลไม้: เครื่องทั้งสองชนิดสามารถใช้ฆ่าเชื้อเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา
- ซุปสำเร็จรูปและอาหารเหลวอื่นๆ: UHT เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการอายุการเก็บรักษานาน
ราคาโดยประมาณ
ราคาของเครื่อง UHT & PASTEURIZER แบบรวมระบบมักขึ้นอยู่กับขนาดและฟังก์ชันเสริม โดยราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 700,000 บาท และสามารถสูงถึงหลายล้านบาทสำหรับเครื่องขนาดใหญ่
ข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีของ UHT
• เก็บรักษาได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็น
• คงคุณค่าทางอาหารและมีอายุการเก็บรักษานาน
ข้อดีของพาสเจอไรซ์
• รักษารสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ
• กระบวนการง่ายและใช้พลังงานน้อยกว่า
ข้อเสียของ UHT
• อาจทำให้รสชาติเปลี่ยนเล็กน้อยเนื่องจากความร้อนสูง
• ต้นทุนการผลิตสูง
ข้อเสียของพาสเจอไรซ์
• ต้องเก็บรักษาในตู้เย็น และมีอายุการเก็บรักษาสั้นกว่า
วัตถุดิบที่ใช้ในเครื่อง
- นม
- น้ำผลไม้
- ซุปสำเร็จรูป
- อาหารเหลวอื่นๆ
ประวัติความเป็นมาของ UHT และ พาสเจอไรซ์
การพัฒนาพาสเจอไรซ์เริ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1860 โดยหลุยส์ พาสเตอร์ นักเคมีชาวฝรั่งเศส ซึ่งมุ่งเน้นการรักษาไวน์และนมเพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ หลังจากนั้นในช่วงทศวรรษที่ 1960 เทคโนโลยี UHT ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถเก็บรักษาอาหารได้ยาวนานขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องแช่เย็น ทั้งสองเทคโนโลยีนี้ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตอาหารที่ปลอดภัยและมีอายุการเก็บรักษานาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมและเครื่องดื่มทั่วโลก
ประวัติความเป็นมาเพิ่มเติมของ UHT และพาสเจอไรซ์
การพาสเจอไรซ์เริ่มต้นจากการค้นคว้าของ หลุยส์ พาสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในช่วงปี 1856 พาสเตอร์ได้ทำการทดลองกับไวน์และเบียร์ ซึ่งในเวลานั้นพบปัญหาการบูดเสียของเครื่องดื่มทั้งสองชนิด เขาพบว่าการใช้ความร้อนต่ำเพียง 60-85°C เป็นเวลาไม่กี่นาที สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดการเสียหายได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อรสชาติและคุณสมบัติของเครื่องดื่ม กระบวนการนี้ได้ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมนมในภายหลังเพื่อรักษาความสดของนมและป้องกันโรคที่แพร่กระจายจากนม เช่น วัณโรคและโรคไข้ทรพิษ กระบวนการพาสเจอไรซ์เป็นที่แพร่หลายทั่วโลกภายในช่วง ต้นศตวรรษที่ 20 และกลายเป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มหลายประเภท
ส่วนเทคโนโลยี UHT (ULTRA-HIGH TEMPERATURE) หรือการฆ่าเชื้อด้วยอุณหภูมิสูงนั้น เริ่มพัฒนาขึ้นในช่วง ทศวรรษ 1960 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์นมและอาหารเหลวสามารถเก็บรักษาได้นานขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องแช่เย็น ในขั้นตอนแรกของการพัฒนา เครื่อง UHT ถูกนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อในนม โดยอุณหภูมิจะถูกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 135-150°C ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที และทำให้เย็นลงทันทีเพื่อรักษาคุณค่าทางอาหาร ในช่วง ทศวรรษ 1970 อุตสาหกรรมนมและอาหารในยุโรปเริ่มนำ UHT มาใช้ในการผลิตนมบรรจุกล่องและผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆ ความสามารถของ UHT ในการยืดอายุการเก็บรักษาและลดการใช้พลังงานในการแช่เย็นทำให้มันกลายเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก
การพัฒนาเครื่องฆ่าเชื้อ UHT และพาสเจอไรซ์ได้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในอาหาร และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้การผลิตอาหารขนาดใหญ่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน เครื่องทั้งสองชนิดมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทั่วโลก ไม่เพียงแต่ในผลิตภัณฑ์นมเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงน้ำผลไม้ ซุป อาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มอื่นๆ อีกด้วย