FREEZING MACHINE เป็นเครื่องที่ใช้ในการทำความเย็นสินค้าหรือวัตถุดิบโดยใช้ลมเย็นหรือสารเย็น เพื่อลดอุณหภูมิของสินค้าให้ต่ำลง มักใช้ในการเก็บรักษาอาหารหรือวัตถุดิบที่ต้องการความเย็นสูง เช่น ปลา ซื้อแข็ง หรือผลไม้

เครื่องแช่เยือกแข็ง (FREEZING MACHINE) คืออะไร

เครื่องแช่เยือกแข็ง (FREEZING MACHINE)  เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการลดอุณหภูมิของวัตถุดิบหรือสินค้าลงอย่างรวดเร็วจนถึงระดับเยือกแข็ง เพื่อช่วยในการเก็บรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์และยืดอายุการใช้งาน โดยทั่วไปเครื่องแช่เยือกแข็งจะใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น การเก็บรักษาอาหารทะเล เนื้อสัตว์ หรือผลไม้ เพื่อรักษาความสดและคงรสชาติของอาหาร

 

องค์ประกอบของเครื่องแช่เยือกแข็ง

  1. คอมเพรสเซอร์ – ทำหน้าที่เพิ่มความดันให้กับสารทำความเย็นที่หมุนเวียนในระบบ
  2. คอนเดนเซอร์ – ระบายความร้อนออกจากสารทำความเย็น เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการทำความเย็น
  3. แผ่นระบายความร้อน – แผ่นทำความเย็นหรือท่อที่จะนำลมเย็นเป่าไปยังผลิตภัณฑ์
  4. ตัวควบคุมอุณหภูมิ – ช่วยในการปรับและรักษาอุณหภูมิของเครื่องให้เหมาะสมกับประเภทของวัตถุดิบที่แช่เยือกแข็ง

 

ตัวอย่างการใช้งานของเครื่องแช่เยือกแข็ง

  1. อุตสาหกรรมอาหารทะเล – ใช้ในการแช่เยือกแข็งปลา ปลาหมึก และกุ้ง เพื่อคงคุณภาพของอาหารทะเลให้นานที่สุด
  2. อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ – ใช้แช่เยือกแข็งเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่น เนื้อวัว เนื้อไก่ เพื่อคงความสดและป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
  3. อุตสาหกรรมผลไม้และผัก – ใช้แช่เยือกแข็งผลไม้และผักเพื่อคงรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ

 

ราคาโดยประมาณของเครื่องแช่เยือกแข็ง

ราคาเครื่องแช่เยือกแข็งจะแตกต่างกันตามขนาดและประสิทธิภาพ เครื่องที่ใช้ในครัวเรือนมีราคาตั้งแต่ 10,000 ถึง 50,000 บาท ขณะที่เครื่องแช่เยือกแข็งอุตสาหกรรมอาจมีราคาตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป จนถึงหลักล้านบาทสำหรับเครื่องขนาดใหญ่

 

ข้อดีข้อเสียของเครื่องแช่เยือกแข็ง

ข้อดี:

  • ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์
  • รักษาคุณภาพ รสชาติ และสารอาหารในวัตถุดิบ
  • ลดการสูญเสียจากการเน่าเสียของสินค้า
  • ประหยัดเวลาในการแช่เยือกแข็งเมื่อเปรียบเทียบกับการแช่เยือกแข็งธรรมดา

ข้อเสีย:

  • ราคาค่อนข้างสูงสำหรับเครื่องอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
  • ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามาก
  • อาจเกิดน้ำแข็งเกาะในช่องแช่ หากระบบระบายความร้อนไม่ดี

 

วิธีการเลือกเครื่องแช่เยือกแข็ง

  1. ความจุ – เลือกเครื่องที่มีความจุเพียงพอกับความต้องการในการใช้งาน
  2. ประสิทธิภาพการทำความเย็น – ควรเลือกเครื่องที่สามารถทำความเย็นได้อย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ
  3. การประหยัดพลังงาน – เลือกเครื่องที่มีระบบประหยัดพลังงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
  4. คุณภาพวัสดุ – เลือกเครื่องที่ทำจากวัสดุที่ทนทานต่อการใช้งานหนัก

 

ประวัติของเครื่องแช่เยือกแข็ง

เครื่องแช่เยือกแข็งมีจุดเริ่มต้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เนื่องจากความต้องการในการเก็บรักษาอาหารให้สดใหม่ยาวนานยิ่งขึ้น โดยแนวคิดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการใช้ความเย็นเพื่อชะลอการเติบโตของจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของการเน่าเสีย ในปี ค.ศ. 1929 CLARENCE BIRDSEYE นักประดิษฐ์และนักชีววิทยาทางทะเลชาวอเมริกัน ได้คิดค้นและจดสิทธิบัตรกระบวนการแช่เยือกแข็งแบบรวดเร็ว (QUICK FREEZING) ที่ทำให้อาหารมีคุณภาพดีขึ้นหลังจากการละลายน้ำแข็ง ด้วยกระบวนการนี้ เขาได้พัฒนาเครื่องจักรที่สามารถแช่เยือกแข็งอาหารได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ทำลายเนื้อสัมผัสหรือคุณค่าทางอาหาร

การพัฒนานี้ทำให้อุตสาหกรรมแช่แข็งอาหารเติบโตอย่างรวดเร็ว และ BIRDSEYE  ถือเป็นบิดาของอุตสาหกรรมอาหารแช่แข็งในปัจจุบัน ต่อมาเทคโนโลยีเครื่องแช่เยือกแข็งได้ถูกพัฒนาขึ้นอีกมากมาย เช่น การใช้ไนโตรเจนเหลวในกระบวนการแช่แข็ง และการสร้างระบบแช่แข็งที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำเพื่อให้เหมาะสมกับวัตถุดิบแต่ละชนิด

ในยุคปัจจุบัน เครื่องแช่เยือกแข็งถูกใช้ในอุตสาหกรรมอาหารอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในโรงงานผลิตอาหารทะเล แปรรูปเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งต้องการการเก็บรักษาในอุณหภูมิต่ำเพื่อรักษาคุณภาพและความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์ ทั้งยังมีการปรับปรุงให้เป็นเครื่องจักรที่สามารถประหยัดพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความเย็นได้ดียิ่งขึ้น